Browse By

All posts by admin

โอลโม่ เดี้ยงซ้อมทีมชาติ – บินกลับบาร์ซ่า

ดานี่ โอลโม่ เพลย์เมกเกอร์จอมเทคนิคของบาร์เซโลน่า และทีมชาติสเปน ต้องเผชิญข่าวร้ายอีกครั้ง เมื่อได้รับบาดเจ็บระหว่างการฝึกซ้อมกับทีมชาติ ก่อนเกมกระชับมิตรในช่วงพักเบรกทีมชาติเดือนตุลาคม ส่งผลให้ต้องถอนตัวจากแคมป์ทันที และเดินทางกลับบาร์เซโลน่าเพื่อเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดจากทีมแพทย์ของสโมสร เหตุการณ์นี้สร้างความกังวลอย่างหนักให้กับทั้งทีมชาติสเปนและต้นสังกัดอย่างบาร์ซ่า ที่กำลังอยู่ในช่วงสำคัญของฤดูกาล ตามรายงานจากสื่อกีฬาชั้นนำของสเปนอย่าง Marca และ AS ระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างการซ้อมที่ศูนย์ฝึกซ้อมลาส โรซาส ในกรุงมาดริด โดยโอลโม่ได้รับบาดเจ็บที่ต้นขาด้านหลังจากจังหวะเร่งสปีดไล่บอลในช่วงท้ายของการฝึกซ้อม เขาล้มลงทันทีพร้อมแสดงอาการเจ็บชัดเจน ทีมแพทย์ของทีมชาติจึงรีบเข้าปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนตัดสินใจส่งตัวไปตรวจเพิ่มเติม ซึ่งผลเบื้องต้นชี้ว่าเป็นอาการกล้ามเนื้อฉีกระดับหนึ่ง แม้จะไม่รุนแรงถึงขั้นต้องพักยาวหลายเดือน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาต้องถอนตัวจากเกมทีมชาติทั้งหมดในรอบนี้ หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้ เฮดโค้ชทีมชาติสเปน ออกมาเปิดเผยภายหลังเหตุการณ์ว่า “มันเป็นเรื่องโชคร้าย โอลโม่เป็นนักเตะที่มีความสำคัญต่อระบบของเรา เขามีบทบาทสำคัญทั้งในการสร้างสรรค์เกมและการเชื่อมต่อระหว่างแดนกลางกับแดนหน้า การเสียเขาไปในตอนนี้ถือเป็นการขาดกำลังสำคัญอย่างแท้จริง” โค้ชชาวสเปนยังเสริมว่า ทีมแพทย์ของบาร์เซโลน่าได้ติดต่อมาทันทีหลังทราบข่าว และมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมการดูแลฟื้นฟู โอลโม่เดินทางกลับไปยังบาร์เซโลน่าทันทีในช่วงเย็นวันเดียวกัน โดยใช้เครื่องบินส่วนตัวของสโมสร เพื่อเข้ารับการตรวจ MRI ที่ศูนย์การแพทย์ภายในสโมสร ซึ่งผลการตรวจขั้นต้นระบุว่าเขาอาจต้องพักอย่างน้อย

อาร์เซน่อล ถูกลงโทษฐานผิดกฎบัตรเข้าชม เอฟเอ คัพ รอบ 3

อาร์เซน่อล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ตกเป็นข่าวใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษอีกครั้ง หลังจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า สโมสรถูกลงโทษทางวินัยฐานละเมิดกฎบัตรการเข้าชมเกมการแข่งขัน ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่ผ่านมา เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตกตะลึงให้กับแฟนบอลและสื่อมวลชน เนื่องจากอาร์เซน่อลถือเป็นสโมสรที่มีชื่อเสียงด้านความเป็นระเบียบและความเป็นมืออาชีพ แต่กลับต้องมาเจอกับบทลงโทษทางการบริหารซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนักในระดับสโมสรใหญ่ ตามรายงานระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่อาร์เซน่อลลงสนามพบกับเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยทางสมาคมฟุตบอลได้ตรวจสอบพบความผิดปกติในส่วนของการจัดการตั๋วเข้าชมเกม ซึ่งเข้าข่ายละเมิดกฎ FA Rule E20 ว่าด้วยการควบคุมการเข้าถึงพื้นที่สนามและการดูแลความปลอดภัยของแฟนบอล ข้อหานี้เกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้บุคคลที่ไม่มีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในพื้นที่จำกัดของสนาม ซึ่งอาจมีผลต่อมาตรการรักษาความปลอดภัยและความเป็นธรรมของการแข่งขัน แหล่งข่าวจาก FA เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีการออกบัตรผ่านพิเศษให้กับบุคคลบางรายที่ไม่ได้รับอนุญาตตามข้อกำหนดของเอฟเอ และมีการใช้บัตรดังกล่าวเพื่อเข้าชมเกมในพื้นที่ที่ถูกจำกัดให้เฉพาะเจ้าหน้าที่ของสโมสรและผู้เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น แม้จะไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายหรือการละเมิดความปลอดภัยใดๆ เกิดขึ้น แต่การกระทำดังกล่าวถือว่าผิดกฎบัตรการแข่งขัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สมาคมฟุตบอลให้ความสำคัญอย่างมาก สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า FA

นิวคาสเซิ่ล เจรจากับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ค่าตอบแทนของรอสส์ วิลสัน

กระแสความเคลื่อนไหวภายในพรีเมียร์ลีกอังกฤษยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีรายงานจากสื่อชั้นนำของอังกฤษเปิดเผยว่า นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับสโมสรน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เกี่ยวกับค่าตอบแทนของ “รอสส์ วิลสัน” ผู้อำนวยการฝ่ายฟุตบอลของฟอเรสต์ ซึ่งตกเป็นเป้าหมายหลักของทีมสาลิกาดงในการดึงตัวมาร่วมงานในโครงสร้างบริหารระดับสูง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการจัดการและวางระบบการพัฒนาทีมในระยะยาว การย้ายครั้งนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับผู้เล่นในสนามโดยตรง แต่กลับมีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ไม่แพ้กัน เพราะตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายฟุตบอลถือเป็นหัวใจในการวางแผนอนาคตของสโมสรในยุคที่การแข่งขันในพรีเมียร์ลีกเข้มข้นกว่าที่เคย นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ภายใต้การบริหารของกลุ่มทุนจากซาอุดิอาระเบีย กำลังเดินหน้าสร้างรากฐานใหม่ให้กับสโมสร ทั้งในแง่โครงสร้างบริหารและการพัฒนาทางกีฬา พวกเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการทำให้ทีมสามารถยืนอยู่ในระดับท็อปของยุโรปอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงทีมที่ประสบความสำเร็จชั่วคราวในฤดูกาลใดฤดูกาลหนึ่ง การดึงบุคลากรที่มีประสบการณ์ด้านฟุตบอลมาร่วมงานจึงเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญ และชื่อของรอสส์ วิลสัน ก็ถือว่าอยู่ในลิสต์ลำดับต้นๆ ที่บอร์ดบริหารของนิวคาสเซิ่ลให้ความสนใจ วิลสันเป็นผู้บริหารชาวสกอตแลนด์ที่มีชื่อเสียงในแวดวงฟุตบอลยุโรป เขาเคยทำงานให้กับหลายสโมสรใหญ่ อาทิ เซาแธมป์ตัน และเรนเจอร์ส ก่อนจะย้ายมารับตำแหน่งที่น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ในปี 2023 ผลงานของเขาในช่วงที่อยู่กับฟอเรสต์ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการพัฒนาทีม ทั้งในแง่ของการคัดเลือกผู้เล่นและการสร้างระบบสเกาต์ที่มีประสิทธิภาพ วิลสันมีชื่อเสียงในเรื่องความสามารถในการหานักเตะพรสวรรค์สูงในราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งเป็นสิ่งที่นิวคาสเซิ่ลให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะแม้สโมสรจะมีงบประมาณมากมายจากเจ้าของทีมคนใหม่ แต่ก็ต้องดำเนินการภายใต้กรอบกฎควบคุมการเงินของพรีเมียร์ลีก (FFP) การเจรจาระหว่างทั้งสองสโมสรยังอยู่ในขั้นตอนเบื้องต้น โดยนิวคาสเซิ่ลต้องการขอซื้อตัวรอสส์ วิลสันพร้อมชำระค่าชดเชยให้ฟอเรสต์ตามสัญญาที่เหลืออยู่

กาเซมีโร่ เป็นผู้นำแบบทำให้เด็กมันดู

กาเซมีโร่ มิดฟิลด์จอมเก๋าของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผู้ซึ่งในทุกการขยับตัว ทุกจังหวะการเล่น และทุกการตัดสินใจของเขา ล้วนสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพและความรับผิดชอบที่แท้จริง จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้เล่นดาวรุ่งทั้งในทีมและทั่วโลก ตั้งแต่วันแรกที่กาเซมีโร่ย้ายจากเรอัล มาดริด มายังโอลด์ แทรฟฟอร์ด เขาไม่ได้มาเพียงในฐานะนักเตะค่าตัวแพง แต่ในฐานะ “ผู้นำตัวจริง” ที่มีภารกิจสำคัญในการนำความมั่นคงกลับคืนสู่แดนกลางของปีศาจแดง ความแตกต่างที่เขานำมาสู่ทีมไม่ใช่แค่เรื่องของฝีเท้า แต่คือ “ทัศนคติ” ที่ยกระดับเพื่อนร่วมทีมให้เล่นด้วยความมั่นใจและมีวินัยมากขึ้น แม้จะอยู่ในสภาพทีมที่ต้องเปลี่ยนผ่านและเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากความคาดหวังของแฟนบอลทั่วโลก สิ่งที่ทำให้กาเซมีโร่โดดเด่นไม่ใช่แค่การเข้าสกัดที่หนักแน่นหรือการอ่านเกมที่เฉียบแหลม แต่คือความเข้าใจในจังหวะของฟุตบอลอย่างลึกซึ้ง เขารู้ว่าเมื่อไหร่ควรบุก เมื่อไหร่ควรถอย และเมื่อไหร่ควรเสียฟาวล์เพื่อปกป้องทีม เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรหวือหวา แต่ทุกการเคลื่อนไหวของเขามีความหมาย และนั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มในทีมอย่างเมสัน เมานท์, โคบี้ เมย์นู หรือฮันนิบาล มาบรี ต้องการเรียนรู้มากที่สุด — การเป็นผู้นำที่ไม่ต้องพูดมาก แค่ “ทำให้เด็กมันดู” หลายคนยังจำได้ถึงภาพในเกมที่แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเอาชนะนิวคาสเซิลเมื่อปลายฤดูกาลก่อน ตอนที่ทีมกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด กาเซมีโร่คือคนที่ยืนตะโกนปลุกใจเพื่อนร่วมทีม แม้เขาจะเป็นหนึ่งในนักเตะที่อายุมากที่สุดในสนาม

โฟฟาน่า มีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก

หนึ่งในชื่อที่กำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในเวลานี้ก็คือ “โฟฟาน่า” ปีกความเร็วสูงของโอลิมปิก ลียง ทีมดังแห่งลีกเอิง ฝรั่งเศส เขากำลังถูกยกย่องว่าเป็นนักเตะที่มีทั้งพรสวรรค์ ความมุ่งมั่น และพัฒนาการที่น่าทึ่ง จนหลายฝ่ายเชื่อว่าเขามีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับนักเตะชั้นนำของโลกในอนาคตอันใกล้ สโมสร โฟฟาน่าเพิ่งมีอายุเพียง 22 ปี แต่สิ่งที่เขาแสดงออกในสนามเกินวัยไปไกล เขาเริ่มต้นฤดูกาล 2025/26 ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยมีส่วนสำคัญในการพาโอลิมปิก ลียงกลับมาทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้งในลีกเอิง หลังจากที่ทีมตกอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านมาหลายฤดูกาล การมีโฟฟาน่าทำให้เกมรุกของลียงกลับมามีชีวิตชีวา ความเร็ว การเลี้ยงบอลที่เฉียบคม และการตัดสินใจที่เฉียบแหลมของเขา ทำให้แนวรับของคู่แข่งต้องเผชิญกับความลำบากแทบทุกครั้งที่เผชิญหน้า ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นนี้ เขาเริ่มถูกนำไปเปรียบเทียบกับนักเตะระดับโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นคีเลียน เอ็มบัปเป้ หรือราฟาเอล เลเอา เนื่องจากมีลักษณะการเล่นที่คล้ายกันในแง่ของความเร็วและความสามารถในการเปลี่ยนเกมได้ในพริบตา โฟฟาน่ามักจะใช้จังหวะการเลี้ยงบอลเข้าใส่คู่แข่งอย่างมั่นใจ ก่อนจะหาช่องเปิดบอลหรือยิงประตูด้วยความเฉียบคม ความสามารถในการสร้างความแตกต่างในพื้นที่แคบคือสิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นเหนือดาวรุ่งคนอื่นในรุ่นเดียวกัน ในลีกเอิงฤดูกาลนี้ เขาทำประตูได้แล้ว 7 ประตู และจ่ายให้เพื่อนอีก 6 แอสซิสต์จากการลงเล่นเพียง 12 นัด

คิริน ชาลเลนจ์ คัพ ญี่ปุ่น 2–2 ปารากวัย

การแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตรในรายการ “คิริน ชาลเลนจ์ คัพ 2025” ที่จัดขึ้น ณ สนามไซตามะ สเตเดียม ประเทศญี่ปุ่น กลายเป็นเกมที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นและอารมณ์ร่วมของแฟนบอลทั้งสองชาติ เมื่อทีมชาติญี่ปุ่นทำได้เพียงเสมอกับทีมชาติปารากวัยไปด้วยสกอร์ 2–2 ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยจังหวะเร้าใจ ทั้งสองทีมต่างแสดงศักยภาพออกมาอย่างยอดเยี่ยมจนได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนบอลทั่วโลก เกมนี้ถือเป็นหนึ่งในการเตรียมความพร้อมของทั้งสองทีมก่อนเข้าสู่รอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026 โดยเฉพาะทีมชาติญี่ปุ่นที่อยู่ในช่วงสร้างความมั่นใจหลังจากฟอร์มไม่คงเส้นคงวาในช่วงที่ผ่านมา ส่วนปารากวัยเองก็เดินทางมาญี่ปุ่นด้วยทีมชุดใหญ่เต็มสูบ หวังใช้เกมนี้เป็นบททดสอบเพื่อเช็กศักยภาพของผู้เล่นในระบบใหม่ที่เน้นเกมรุกมากขึ้น การพบกันของสองทีมต่างทวีปที่มีสไตล์การเล่นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกมนี้กลายเป็นการปะทะของแท็กติกและความเร็ว ซึ่งแฟนบอลทั่วโลกต่างรอชม ในช่วงต้นเกม ทีมชาติญี่ปุ่นเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจตามสไตล์ทีมจากเอเชียที่เน้นการครองบอลและการต่อบอลสั้นเร็ว ทาคุมิ มินามิโนะ และคาโอรุ มิโตมะ เป็นตัวขับเคลื่อนเกมรุกทางกราบซ้ายและขวา ขณะที่ทาเคฟุสะ คุโบะ ยืนเป็นเพลย์เมกเกอร์คอยสร้างสรรค์โอกาสจากกลางสนาม นาทีที่ 18 ความพยายามของเจ้าถิ่นก็ได้ผล เมื่อมิโตมะลากบอลหลบแนวรับปารากวัยสองคนก่อนจ่ายต่อให้มินามิโนะยิงเสียบเสาแรกอย่างเฉียบคม ส่งให้ญี่ปุ่นออกนำไปก่อน 1–0 ท่ามกลางเสียงเชียร์กึกก้องทั่วสนามไซตามะ แต่ความได้เปรียบของญี่ปุ่นอยู่ได้ไม่นาน เมื่อปารากวัยแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในเกมโต้กลับ พวกเขาอาศัยจังหวะบอลยาวและความเร็วของมิเกล อัลมิรอน ตัวรุกจากนิวคาสเซิล

เวย์น รูนี่ย์ วิจารณ์ กาเซมีโร่ โดนใบแดงแบบโง่ ๆ

ฟุตบอลคือเกมแห่งอารมณ์ แต่บางครั้งอารมณ์ก็อาจทำลายเกมได้เอง — โดยเฉพาะเมื่อมันมาจากผู้เล่นที่ควรเป็นผู้นำในสนาม ล่าสุด เวย์น รูนี่ย์ อดีตกองหน้าและตำนานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมา หลังเห็นเหตุการณ์ที่ กาเซมีโร่ มิดฟิลด์ตัวรับชาวบราซิลโดนใบแดงในเกมพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุด รูนี่ย์ใช้คำที่แรงและตรงตามสไตล์ของเขา โดยกล่าวว่า “มันเป็นใบแดงที่โง่สุด ๆ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผู้เล่นระดับเขาถึงตัดสินใจแบบนั้นในจังหวะสำคัญของทีม” คำพูดนี้กลายเป็นประเด็นร้อนทันที ทั้งในหมู่แฟนบอลและนักวิเคราะห์ เพราะกาเซมีโร่คือหนึ่งในนักเตะคนสำคัญของยูไนเต็ด และการถูกใบแดงของเขาส่งผลต่อผลการแข่งขันโดยตรง บทความนี้จะพาไปเจาะลึกเหตุการณ์ดังกล่าว เบื้องหลังความเห็นของรูนี่ย์ และผลกระทบที่มีต่อทีมทั้งในเชิงแท็กติกและจิตวิทยา เหตุการณ์ในเกม : จังหวะใบแดงที่เปลี่ยนเกม เกมที่เป็นต้นเหตุของเสียงวิจารณ์นี้เกิดขึ้นในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดลงสนามพบกับคู่แข่งสำคัญ โดยกาเซมีโร่ถูกไล่ออกจากสนามในช่วงครึ่งหลัง หลังจากเข้าสกัดในจังหวะที่ผู้ตัดสินมองว่า “อันตรายเกินจำเป็น” แม้จะมีการเช็ก VAR แต่คำตัดสินก็ยังคงเดิม — ใบแดงตรงและโดนแบนสามนัดทันที สิ่งที่ทำให้แฟนบอลไม่พอใจคือ กาเซมีโร่เคยโดนใบแดงในลักษณะใกล้เคียงกันมาแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งสะท้อนถึงการตัดสินใจที่ขาดความเยือกเย็น รูนี่ย์ในฐานะอดีตกัปตันทีมและคนที่เคยเล่นให้ยูไนเต็ดมากกว่า

ไรอัน กราเฟนแบร์ค ชี้ค่าตัวตนเองเกิน 100 ล้านปอนด์

กราเฟนแบร์ค ในยุคที่ตลาดนักฟุตบอลเต็มไปด้วยตัวเลขระดับมหาศาล การกล่าวว่าตนเองมีค่าตัวเกินกว่า 100 ล้านปอนด์ ดูจะไม่ใช่เรื่องเกินจริงอีกต่อไป โดยเฉพาะกับนักเตะที่เต็มไปด้วยศักยภาพและฝีเท้าระดับโลกอย่าง ไรอัน กราเฟนแบร์ค (Ryan Gravenberch) กองกลางทีมชาติเนเธอร์แลนด์ของ ลิเวอร์พูล ดาวเตะวัยเพียง 23 ปีรายนี้ออกมาให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับสื่อดัตช์ โดยยืนยันว่า “หากวัดตามผลงานและศักยภาพในตอนนี้ ค่าตัวของผมคงทะลุเกิน 100 ล้านปอนด์ไปแล้ว” คำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นใจนี้ สะท้อนถึงพัฒนาการและศักยภาพที่แท้จริงของแข้งรายนี้ ที่เคยผ่านทั้งยุคทองของอาแจ็กซ์และประสบการณ์ในบาเยิร์น มิวนิก ก่อนจะย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีกกับหงส์แดง บทความนี้จะพาไปสำรวจเบื้องหลังความมั่นใจของไรอัน กราเฟนแบร์ค เส้นทางชีวิตจากเด็กหนุ่มในอัมสเตอร์ดัม สู่การกลายเป็นกองกลางระดับโลก รวมถึงการวิเคราะห์ว่าทำไมเขาถึงกล้าพูดว่าค่าตัวตัวเองเกิน 100 ล้านปอนด์ และอะไรที่ทำให้หลายสโมสรพร้อมทุ่มทุนมหาศาลเพื่อคว้าตัวเขาในอนาคต จุดเริ่มต้นแห่งพรสวรรค์ : อาแจ็กซ์คือบ้านที่ปลุกปั้น ไรอัน กราเฟนแบร์ค เกิดที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2002 เขาเติบโตในครอบครัวที่รักฟุตบอล พี่ชายของเขา

ลุค ชอว์ เจ็บปวดกับคำวิจารณ์ของ รอย คีน

ล่าสุด ลุค ชอว์ ในโลกของฟุตบอลอาชีพ คำวิจารณ์เป็นสิ่งที่นักเตะทุกคนต้องเผชิญ แต่ไม่ใช่ทุกคำพูดที่จะจางหายไปตามเวลา โดยเฉพาะเมื่อเสียงนั้นมาจาก “รอย คีน” ตำนานกัปตันทีมผู้โด่งดังของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดและตรงไปตรงมา ล่าสุด ลุค ชอว์ (Luke Shaw) แบ็กซ้ายทีมชาติอังกฤษและหนึ่งในกำลังหลักของปีศาจแดง ได้เปิดใจว่า เขารู้สึก “เจ็บปวดและเสียใจ” กับคำวิจารณ์อันรุนแรงของรอย คีน ที่เคยกล่าวถึงฟอร์มการเล่นและทัศนคติของเขาในช่วงที่ทีมทำผลงานไม่ดีในพรีเมียร์ลีก บทสัมภาษณ์ครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงแรงกดดันที่นักฟุตบอลต้องเผชิญเท่านั้น แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ถึงความสัมพันธ์ระหว่างอดีตนักเตะระดับตำนานกับนักเตะรุ่นปัจจุบัน ที่ต้องเติบโตภายใต้เงาของความยิ่งใหญ่จากอดีต เส้นทางของลุค ชอว์ : จากความหวังใหม่สู่แรงกดดันอันมหาศาล ลุค ชอว์ เกิดเมื่อปี 1995 ที่เมืองคิงส์ตัน อัพพอน เทมส์ เขาเริ่มต้นเส้นทางอาชีพกับ เซาธ์แฮมป์ตัน สโมสรที่มีชื่อเสียงด้านการปั้นนักเตะเยาวชน เช่นเดียวกับแกเร็ธ เบล และธีโอ

เอ็นดริค ตัวรุกของ เรอัล มาดริด เกือบที่จะย้ายไปอยู่กับ ยูเวนตุส

เอ็นดริค เฟลิเป้ โมไรร่า เด ซูซ่า หรือที่แฟนบอลทั่วโลกรู้จักกันในชื่อสั้น ๆ ว่า “เอ็นดริค” คือหนึ่งในดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในยุคปัจจุบัน เด็กหนุ่มจากกรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล เกิดเมื่อปี 2006 และเริ่มต้นเส้นทางลูกหนังตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 10 ขวบ ด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นในการควบคุมบอล การยิงประตูที่เฉียบคม และความมั่นใจในสนาม ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ถูกยกย่องว่าเป็น “ว่าที่เนย์มาร์คนต่อไป” อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะกลายเป็นนักเตะของ เรอัล มาดริด อย่างเป็นทางการ เส้นทางชีวิตของเอ็นดริคไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เพราะในช่วงเวลาหนึ่ง เขาเกือบจะได้ย้ายไปเล่นให้กับ ยูเวนตุส สโมสรดังแห่งอิตาลี ซึ่งหากดีลนั้นเกิดขึ้นจริง ประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จุดเริ่มต้นของความฝัน : จากสนามหญ้าในบราซิลสู่เวทีโลก เอ็นดริคเริ่มต้นอาชีพกับทีมเยาวชนของ พัลไมรัส (Palmeiras) หนึ่งในสโมสรยักษ์ใหญ่ของบราซิล เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในลีกเยาวชน จนทำให้สื่อในประเทศเริ่มพูดถึงชื่อของเขาตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี